การฟังถือเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้เด็กๆ สามารถตอบสนองทั้งการพูดและด้านภาษาของเขาได้ ลองสังเกตดูนะคะว่าหากพ่อแม่บ้านไหนที่ชอบพูดคุยกับลูกบ่อยๆ จะทำให้เขาเป็นเด็กที่โตมามีทักษะและพัฒนาการที่เร็วกว่า ยิ่งถ้าชอบตอบคำถามลูกเวลาเขาถาม ยิ่งทำให้เขามีทักษะการฟังและการพูดที่ดีขึ้นด้วย
ทักษะการฟังเป็นทักษะที่มีความสำคัญที่เด็กต้องเรียนรู้และเป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าสังคม เพราะการอยู่รวมกับคนอื่นในสังคมสำหรับเด็กแล้ว คงหนีไม่พ้นสังคมภายในโรงเรียน การที่เด็กได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียน เด็กยิ่งต้องรู้จักฟังและสื่อสารกับผู้คนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องฝึกตั้งแต่ในวัยเด็ก เพราะการฟังเป็นส่วนสำคัญของการพูด การอ่าน และการเขียน การฟังของเด็กจะรับรู้โดยประสาทสัมผัสทางหู แล้วคิดตามเรื่องราวที่ได้ยิน การพัฒนาทักษะด้านการฟังของลูกมีดังนี้ คือ
ให้ลูกสังเกตสิ่งรอบตัว เรามักเคยชินกับการต้อง ‘พูด’ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร จนทำให้เราละเลยสัญญาณบางอย่างจากอีกฝ่าย เช่น แววตา สีหน้า ท่าทาง และสภาพแวดล้อม ดังนั้น ‘ทักษะการฟัง’ จึงไม่ได้หมายถึงการฟังเสียงเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการฟังเสียงที่ไม่ได้ยินด้วยหูด้วย นั่นคือ เสียงภายในที่สามารถแสดงออกทางกาย เด็กๆ ที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเข้ากับผู้อื่นได้ดี มักมีทักษะการสังเกตคนรอบตัวที่ดี
อ่านนิทานให้เขาฟัง กิจกรรมนี้ช่วยให้ลูกฟังและแยกแยะความแตกต่างของอารมณ์คุณพ่อคุณแม่ผ่านโทนเสียงและน้ำเสียงที่ลูกได้ยิน ยกตัวอย่างเช่น เสียงโกรธ เสียงอารมณ์ดี เสียงเศร้า และเสียงดุ เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่เล่านิทานด้วยน้ำเสียงสูงต่ำ ตามบุคลิก นิสัย และอารมณ์ของตัวละคร และให้ลูกมีส่วนร่วมและสนุกไปกับนิทาน เช่น เมื่อถึงฉากที่สุนัขออกมา ให้ลูกทำเสียง ‘โฮ่ง โฮ่ง’นอกจากนี้ระหว่างเล่านิทานคุณพ่อคุณแม่หยุดเล่า เพื่อถามคำถามลูกจากนิทานที่เล่า เพื่อทดสอบสมาธิในการฟัง และให้ลูกคิดตามไปกับเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่เล่า
เป็นต้นแบบที่ดีโดยการเป็นผู้ฟังที่ดีให้ลูกเห็น เราเองนี่แหละที่เคยชินกับการพูดมากกว่าการฟัง ดังนั้นก่อนจะสอนเด็ก ๆ ให้ฟัง เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีเสียก่อน เมื่อลูกพูดต้องฟังเขาจนจบ โดยไม่ทำกิจกรรมอื่นตรงหน้าเขา มองหน้าสบตาลูก และฟังเขาจริง ๆ ไม่ใช่ฟังเพราะเป็นหน้าที่ ซึ่งการที่ลูกจะพัฒนาทักษะการสื่อสารที่ดีขึ้นได้ เมื่อเราฟังอย่างตั้งใจ และพูด (บ่น) ให้น้อยลง
ไม่พูดตอนที่เขาโกรธ หรือ โมโหมากๆ เนื่องจากสมองที่สั่งการ ณ เวลานั้น คือ สมองส่วนอารมณ์ (emotional brain) ไม่ใช่สมองส่วนเหตุผล (rational brain) ดังนั้นนอกจากเขาจะฟังไม่ได้ยินแล้ว ยังไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุผลได้ สิ่งที่เราควรทำ คือ อนุญาตให้เขาโกรธ (โดยไม่ทำร้ายตัวเอง ผู้อื่น หรือ ทำลายสิ่งของ) และรอให้เขาสงบ เมื่อเขาพร้อม มองตาเขา บอกเขาว่า “เราเข้าใจที่เขาโกรธ แต่...ไม่ควรทำ” หรือ บอกในสิ่งที่ต้องการจะบอกเขาไป
หากิจกรรมมาให้ลูกเล่น กิจกรรมลองฟังดูนั่นเสียงอะไร กิจกรรมฝึกให้ลูกฟังเสียง ทำให้ลูกสามารถแยกความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ และเสียงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือสัตว์ ให้ลูกหลับตาและทำให้วัตถุเกิดเสียง ยกตัวอย่างเช่น เสียงจากกระป๋อง เสียงจากนาฬิกา เสียงจากใบไม้ เสียงลม หรือเสียงร้องของแมว เป็นต้น จากนั้นให้ลูกเดาว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงที่เกิดจากอะไร และให้ลูกทำเสียงเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น