รับมืออย่างไรดี เมื่อลูก ดื้อ ไม่ยอมฟัง

     อยากให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจก่อนว่า ความดื้อ คือพัฒนาการตามวัยของเด็กอย่างหนึ่ง การที่เด็กเล็กวัย 0-6 ปี แสดงอาการต่อต้านพ่อแม่ เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและพัฒนาการของเขา ลูกกำลังทดสอบกรอบที่พ่อแม่วางไว้ เพื่อดูว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่เข้มงวดแค่ไหน การที่เด็กวัยนี้ดื้อไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย การทดสอบขีดจำกัดเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงการเติบโตทางจิตใจว่าลูกของคุณกำลังคิดด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะใช้เหตุผล และตัดสินใจเลือก ในฐานะพ่อแม่คุณควรรู้ให้ทันพัฒนาการของลูกน้อย และเตรียมตัวเตรียมใจรับมือให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยนั้นๆ และช่วยให้ลูกปรับตัวจากเด็กดื้อกลับมาเป็นเด็ก มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง รู้สึกมั่นคง ปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตทั้งในบ้านและสังคมนอกบ้านได้อย่างมีความสุข

      พ่อแม่หลายคนเป็นกังวลและเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยรับมือกับเด็กดื้อ ทั้งยังไม่แน่ใจว่าวิธีที่ใช้เลี้ยงลูกนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะวัยเด็กเป็นวัยที่เปราะบางและได้รับอิทธิพลจากการเลี้ยงดูได้ง่าย การตอบโต้กับความดื้อของเด็กแบบไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาด้านบุคลิกภาพ ทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดความมั่นใจหรือเก็บกดได้ ดังนั้น การดูแลเด็กดื้ออย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย วิธีรับมือ เมื่อลูกดื้อ ไม่ยอมฟัง มีดังนี้ คือ 

  1. ใช้ความเด็ดขาดทำให้เด็กหายหงุดหงิด หรือโวยวาย เด็กเล็กมักร้องไห้โวยวายให้ซื้อสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่ฟังเหตุผล คุณแม่ควรอุ้มหรือพาเด็กออกมาจากร้านทันทีโดยไม่ปล่อยให้เด็กเข้าใจว่าผู้ใหญ่มีทีท่าจะซื้อให้หลังงอแง เพราะเด็กมักใช้วิธีดังกล่าวเรียกร้องให้พ่อแม่ใจอ่อน จึงไม่ควรแสดงความลังเลใจออกไป เพื่อให้เด็กเข้าใจอย่างเด็ดขาดว่าไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณีที่เด็กไม่หยุดทำพฤติกรรมที่ถูกห้ามอย่างการขว้างปาของเล่นกลาดเกลื่อน พ่อแม่อาจอุ้มเด็กออกจากบริเวณนั้นและพูดอย่างเด็ดขาดว่าหากไม่หยุดทำจะไม่ให้เล่นต่อ

  2. พูดให้เข้าใจ สั้น กระชับ ใจความ เพราะเด็กวัยนี้ ยังไม่สามารถฟัง และทำสิ่งต่างๆ หลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ลูกจะจับใจความได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากฟังสิ่งที่ยาวๆ เด็กก็จะงง งอแง และลืมง่ายนั่นเองดังนั้นเมื่อลูกกำลังโมโหให้พูดกับลูกสั้นๆ กระชับ ไม่บ่นยืดเยื้อ บอกแค่ว่าเขาทำผิดอะไร และให้โอกาสเขาได้ลองทบทวนกับตัวเองว่าผิดจริงรึเปล่า? จากนั้นค่อยหันหน้าให้ลูกเปิดใจรับฟังปัญหา และจับเข่าคุยกัน

  3. อย่าใช้คำว่าอย่า เพราะยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  เด็กดื้อหลายๆ คนเกิดอาการต่อต้านมากขึ้น เวลาที่ได้ยินคุณแม่ห้ามให้เขาทำอะไรบ่อยๆ โดยใช้คำว่า“อย่า” เช่น ไม่อยากให้ลูกเสียงดังเวลาอยู่ในร้านอาหาร ก็ให้พูดกับลูกว่าคนทั้งร้านได้ยินความลับหนูหมดแล้วพูดเบาๆ นะลูก หรือเวลาที่ลูกจะออกไปวิ่งเล่นแล้วคุณกลัวว่าจะหกล้ม แทนที่จะพูดว่าอย่าวิ่งก็เปลี่ยนมาพูดว่า เดินช้าๆ นะคะลูก เดี๋ยวหกล้มเลือดออก ต้องไปหาคุณหมอเย็บแผลนะ” อะไรประมาณนี้เป็นต้นหมดแล้วพูดเบาๆ นะลูก หรือเวลาที่ลูกจะออกไปวิ่งเล่นแล้วคุณกลัวว่าจะหกล้ม แทนที่จะพูดว่าอย่าวิ่งก็เปลี่ยนมาพูดว่า เดินช้าๆ นะคะลูก เดี๋ยวหกล้มเลือดออก ต้องไปหาคุณหมอเย็บแผลนะ” อะไรประมาณนี้เป็นต้น

  4. เปิดใจคุยกับลูกเพื่อแสดงความห่วงใย หากเด็กเพิ่งเริ่มแสดงอาการต่อต้านได้ไม่นานและอยู่ในวัยเริ่มเข้าเรียนที่เริ่มสื่อสารรู้เรื่องแล้ว สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำ คือ พูดคุยกับเด็กอย่างตรงไปตรงมา โดยบอกว่าตนสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากนั้นลองสอบถามว่ามีปัญหาหรือสิ่งใดที่ทำให้เด็กไม่มีความสุขหรือไม่ พยายามใช้ความเข้าใจและโน้มน้าวให้เด็กบอกถึงสาเหตุของความหงุดหงิดหรือไม่พอใจ เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุดต่อไป

  5. หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ สิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำในการรับมือกับเด็กดื้อ คือ การระเบิดอารมณ์หรือสูญเสียการควบคุมตนเอง เพราะจะส่งผลให้เด็กโต้ตอบด้วยความไม่เชื่อฟังและไม่เคารพ ในทางกลับกัน เด็กจะเชื่อฟังมากกว่าหากพ่อแม่พูดคุยอย่างใช้เหตุผลและมีความเข้าใจ ใช้น้ำเสียงปกติและใจเย็นเพราะเมื่อพ่อแม่ปฏิบัติอย่างเคารพและให้เกียรติ เด็กย่อมเรียนรู้ที่จะเคารพพ่อแม่และคนอื่น ๆ ในครอบครัวตามต้นแบบที่ได้เห็น แต่หากในระหว่างนั้นลูกยังคงอารมณ์ร้อนหรือไม่พอใจอยู่ พ่อแม่อาจให้เวลาเด็กสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง

  6. ให้รางวัลลูกเมื่อทำความดี การให้กำลังใจเมื่อลูกปฏิบัติตัวดีก็เป็นสิ่งที่สำคัญ พ่อแม่ควรกล่าวชมเมื่อลูกเชื่อฟังและให้ความเคารพ ให้รางวัลเมื่อมีความประพฤติที่ดีหรือให้ความร่วมมือในการทำตามข้อตกลง ซึ่งวิธีนี้ส่งผลดีต่อเด็กและช่วยรับมือกับความดื้อได้ดีกว่าการทำโทษ

  7. ใช้น้ำเสียงให้ถูกต้อง และถูกเวลา การคุยกับลูกด้วยเสียงที่ดัง ตะเบงหรือตะโกนกับลูกตลอดเวลา เขาจะไม่เข้าใจว่าเราต้องการจะสื่ออะไร พูดธรรมดา หรือว่ากำลังดุเขา ซึ่งอาจจะส่งผลให้เขาไม่ฟัง หรือไม่ปฏิบัติตามนะคะ ดังนั้นจึงต้องบอกให้เขาฟังว่า น้ำเสียงแบบนี้แปลว่าอะไร ? แม่กำลังโกรธอยู่นะ หรือแค่เตือน ให้เขารับรู้สิ่งที่เราต้องการที่อยากจะสื่อไปให้จริงๆ นั่นเอง ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ทรงพลังค่ะสิ่งสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยงเลย ก็คือ หากเราใช้น้ำเสียงที่ดังดุลูกบ่อยๆ อาจทำให้เขาติดพฤติกรรมจนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีจากเราตอนที่โมโหก็ได้ค่ะ






ความคิดเห็น