เลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตอย่างมีความสุข

   ความสุข ถือเป็นตัวแปรหลักอย่างหนึ่งที่จะทำให้ลูกเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบ หากเลือกได้พ่อแม่ทุกคนคงอยากให้ลูกเติบโตมามีสุขภาพแข็งแรง ฉลาด เป็นคนดี มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่การจะเลี้ยงลูกสักคนให้ดี และมีความสุขร่วมกันทั้งครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งอาจจะมีเหนื่อยบ้าง เครียดบ้าง แต่เราเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อลูก เพียงแค่พ่อแม่เข้าใจธรรมชาติในตัวลูก เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก เข้าใจในพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วงอายุ และเลี้ยงดูให้เหมาะสมตามวัย ก็จะทำให้เขาได้เรียนรู้ และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เก่ง ดี มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตได้

    คุณพ่อคุณแม่ทุกคนล้วนอยากให้ลูกของตัวเองเติบโตมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนเก่งของพ่อแม่และสังคมกันทั้งนั้น แต่ในสังคมปัจจุบันนี้การจะเป็นคนเก่งที่ฉลาดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ ที่ประกอบด้วย ความเก่ง ความดี และความสุข ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งวิธีเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี และมีความสุขนั้น ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง หรือหาซื้อของแพง ๆ มาให้ลูกแต่อย่างใดเลยค่ะ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่เข้าใจในตัวลูก เข้าใจในพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงอายุ และเลี้ยงดูเขาให้เหมาะสมตามวัย ก็จะทำให้เขาได้เรียนรู้ และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เก่ง ดี และมีความสุข ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียน การทำงาน และประสบความสำเร็จในชีวิตได้  และวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตอย่างมีความสุข มีดังนี้

  1. เปิดใจรับฟังสิ่งที่ลูกพูด สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้ลูกรู้สึกว่า ลูกสามารถคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง การเป็นผู้ฟังที่ดี คือการเปิดใจรับฟังสิ่งที่ลูกต้องการสื่อสารอย่างตั้งใจ และเข้าใจ ไม่พูดแทรก หรือตัดสินลูกว่าถูกหรือผิด แต่ให้ตั้งคำถามกลับว่า “แล้วลูกคิดว่าจะทำยังไง” “ตอนนี้ลูกรู้สึกอย่างไร” และพ่อแม่สามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้ ทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นเพื่อนคนหนึ่ง ที่สามารถไว้ใจที่จะพูดคุย และพร้อมจะอยู่ข้างๆ ลูกเสมอ นอกจากนี้การพูดคุยกันเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างลูกกับพ่อแม่ด้วย

  2. การหัวเราะ และ เล่นตลกกับลูกๆ  หากเราต้องการให้ลูกในวัยเตาะแตะมีการปรับตัวทางสังคมที่ดีในอนาคต เราควรเติมสีสันหรือชีวิตชีวาให้กับลูกโดยการเล่นและสนุกกับลูก  หากผู้ปกครองเล่นตลกหรือเล่นบทบาทสมมุติกับลูก จะทำให้ลูกในช่วงวัยเด็กมีความคิดสร้างสรรค์และเข้าสังคมได้ดี ลดความเครียดและมีการปรับตัวที่ดีเมื่อโตขึ้น เมื่อลูกโตขึ้นจะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ และนึกถึงในช่วงวัยที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความรัก เล่นสนุก หัวเราะตลกขบขันไปด้วยกันที่ติดอยู่ในความทรงจำไปจนตลอดชีวิต

  3. ให้ลูกสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนๆและคนรอบข้าง  การเข้าสังคมเป็นพื้นฐานการสร้างบุคลิกภาพที่เหมาะสมของเด็ก ซึ่งจะช่วยให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนในสังคม ทั้งเพื่อน ๆ และคนรอบข้าง รวมถึงได้พัฒนาทักษะด้านอารมณ์ที่ดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการดำเนินชีวิตในอนาคต เพราะจะช่วยให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รู้จักระเบียบวินัย รู้จักการแบ่งปัน ควบคุมอารมณ์ได้ดี และมีทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต

  4. ชื่นชมลูก เมื่อลูกทำสิ่งที่ดี เมื่อลูกทำความดีหรือทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ควรให้คำชมและให้การสนับสนุน ให้เขาได้รู้ว่าคุณชื่นชมยินดีมากขนาดไหน เช่น การช่วยเหลืองานบ้าน หรือแบ่งปันขนมให้พี่น้อง ซึ่งคำชมนี้ถือเป็นกำลังใจและแรงเสริมทางบวกที่จะช่วยผลักดันให้เด็กทำในสิ่งดี ๆ ต่อไปได้เรื่อย ๆ ทั้งยังช่วยให้เขามีแรงกระตุ้นในการเรียนรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน และยังเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอีกด้วย

  5. อ่านหนังสือด้วยกันทุกวัน  คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเจ้าตัวน้อยถึงชอบให้เล่านิทานให้ฟังอยู่บ่อย ๆ  นั่นก็เพราะว่าเด็ก ๆ ชอบฟังเสียงคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูก และยังเพิ่มความแน่นแฟ้นในครอบครัวได้ดีอีกด้วย ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่การอ่านหนังสือให้ลูกฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านหนังสือด้วยกันกับลูก สลับการสอนคำศัพท์ หรือถามตอบเกี่ยวกับเนื้อหาและแสดงความคิดเห็น นอกจากจะทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังให้รักการอ่านอีกด้วย

  6. ให้โอกาสลูกทำพลาดบ้าง พ่อแม่ควรเปิดให้โอกาสลูกได้ทำพลาดบ้าง เช่น กินข้าวหก ตกบันได จักรยานล้ม เพราะนักจิตวิทยาเผยว่า เด็กจะรู้สึกได้รับการสนับสนุนหากทำพลาดในครั้งแรก และมีแนวโน้มที่จะพยายามทำให้มันดีขึ้น ซึ่งหากเราปล่อยให้ลูกได้ทำอะไรใหม่ๆ ฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แม้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่จะทำให้ลูกกล้าคิด กล้าลงมือทำ สามารถจัดการกับปัญหาใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และทำให้ลูกสามารถพัฒนาความคิดนอกกรอบได้ รวมถึงพ่อแม่เองก็ตาม บางครั้งเราอยากเป็นแบบอย่างดีให้ลูก แต่การให้ลูกได้รับรู้ว่า พ่อแม่เองก็มีบางเรื่องที่ผิดพลาดได้เช่นกัน คนเราไม่ได้เจ๋งหรือดีกว่าคนอื่นไปซะทุกเรื่อง เพื่อทำให้ลูกสามารถยอมรับความผิดพลาดได้ และพร้อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

  7. อย่าเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น การเปรียบเทียบมีอยู่ทั่วไปในสังคม รวมถึงในเกือบทุกครอบครัว ซึ่งหลายครั้งการเปรียบเทียบลูกตนเองกับคนอื่นล้วนเกิดจากความหวังดีของพ่อแม่ พ่อแม่บางคนอาจจะตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินไป หรือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เช่น พ่อแม่เป็นหมอ ก็อยากให้ลูกเป็นหมอด้วย จนลืมนึกถึงความต้องการของลูก การเอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น และพลังคำพูดเชิงลบของพ่อแม่เป็นสิ่งที่ทำร้ายใจของลูกเสมอ ควรหยุดเปรียบเทียบ และหันกลับมาให้ความสนใจ ใส่ใจ รับฟังว่าลูกต้องการอะไร เช่น เวลาปกติทั่วไปลูกชอบทำกิจกรรมประเภทไหน มีความถนัดอะไร อยากจะเรียนรู้เรื่องอะไรเป็นพิเศษ มีความสุขและอยู่กับสิ่งใดได้นาน ๆ บ้าง แล้วพ่อแม่ก็ส่งเสริมไปด้านนั้นให้เต็มที่





ความคิดเห็น