ชีวิตคนเรามีทั้งสมหวังและผิดหวัง ความผิดหวังอาจเป็นความพ่ายแพ้อย่างหนึ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกเสียใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งชีวิตของเราจะล้มเหลวและต้องแพ้ตลอดไป เด็กหลายคนรู้จักการแพ้ชนะผ่านการเล่นเกม กีฬา บางคนดีใจเมื่อได้ชัยชนะ และยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ขณะที่เด็กบางคนประสบการณ์การใช้ชีวิตอาจยังไม่มากพอ เมื่อเล่นเกมกีฬาแพ้ก็ย่อมรู้สึกเสียใจมากเป็นธรรมดา ทั้งที่จริงแล้วชีวิตเขายังต้องเผชิญกับความสมหวังและผิดหวังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน สังคม หรือแม้แต่เรื่องความรัก ลูกยังต้องเรียนรู้ที่จะผิดหวัง และเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้อีกมาก ซึ่งลูกจะรับมือกับความพ่ายแพ้ได้มากน้อยแค่ไหน พ่อแม่ต้องเป็นคนฝึกฝนทักษะนี้ให้เขา
แต่เด็กหลายคนมักถูกปลูกฝังและกระตุ้นให้อยากเป็นผู้ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ต่างก็คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จทุกเรื่อง จนลืมไปว่าคนเราไม่อาจจะชนะไปทุกเรื่อง เมื่อถูกปลูกฝังมาว่าต้องชนะอย่างเดียว จึงเห็นเด็กบางคนร้องไห้ฟูมฟายเมื่อพ่ายแพ้ หรือมีพฤติกรรมรุนแรง อาละวาดเมื่อไม่ได้ดังใจ ซึ่งส่งผลมายังตอนโตทำให้ไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แสดงออกถึงอารมณ์และพฤติกรรมที่รุนแรงเมื่อผิดหวัง อันนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูที่ต้องสอนให้เด็กให้รู้จัก “แพ้ให้เป็น” ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันรับมือกับความผิดหวังที่จะต้องเจอในอนาคต
เป็นตัวอย่างที่ดีในการรับมือเกี่ยวกับความผิดหวัง ความมั่นใจ กำลังใจ และความคาดหวังจากคุณพ่อคุณแม่ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้ลูกกล้าที่จะเข้าสู่การแข่งขัน แต่ต้องไม่ลืมว่าคุณพ่อคุณแม่คือต้นแบบสำคัญในการรับมือกับเรื่องยากๆ ในชีวิตลูก ดังนั้นนอกจากหน้าที่คอยส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงออกถึงความพร้อมที่จะเผชิญกับผิดหวังและพร้อมที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คุณพ่อคุณแม่จะยอมรับ เข้าใจ และภูมิใจในความพยายามของลูกเสมอ
อย่าตามใจลูกทุกเรื่อง เด็กที่ได้รับการตามใจจะเคยชินกับความสมหวัง พอผิดหวังหรือแพ้ ก็จะรู้สึกยอมรับความพ่ายแพ้ได้ยาก จึงไม่รู้จักวิธีจัดการกับความผิดหวัง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตของลูกอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการควบคุมอารมณ์ วินัย การแสดงออกและความก้าวร้าว ถ้าไม่ให้ลูกผิดหวังบ้าง ลูกก็จะโตมาเป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้เลย ทำให้เขาใช้ชีวิตได้ยากเมื่อโตขึ้น
ความพ่ายแพ้คือภูมิคุ้มกัน เมื่อลูกเผชิญกับความพ่ายแพ้ แน่นอนว่า ณ ขณะนั้นลูกย่อมรู้สึกผิดหวัง เสียใจ สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการพูดคุย ปลอบโยนลูก ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่อยู่เคียงข้างเขา หากลูกรู้สึกโกรธ โมโห ควรรีบกอดลูกทันที และเมื่อลูกอารมณ์ดี ทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ได้แล้ว พ่อแม่สามารถคุยกับลูกได้ว่าลูกพลาดตรงไหน เราจะนำมาปรับปรุงอะไรได้บ้าง หรืออาจชี้ให้เห็นว่านักกีฬาบางคนเขาแข่งแพ้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเขาจะสิ้นหวัง เพราะเขาก็ยังคงซ้อมและแข่งขันต่อไป ไม่ชนะวันนี้ วันหนึ่งเขาก็ชนะ
สอนให้ลูกรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ไม่เฉพาะเวลาที่เกิดการแข่งขัน แต่เด็กๆ ควรได้รับการฝึกให้รู้จักและรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ เช่น เมื่อลูกฝึกซ้อม อาจจะมีบางเวลาที่ลูกรู้สึกเหนื่อยและท้อ คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเองได้ด้วยการเข้าไปสอบถาม ให้ลูกได้สะท้อนอารมณ์ของตัวเองออกมา แล้วนำไปสู่การเตรียมรับมือและจัดการกับความรู้สึกของตัวเองต่อไป
หัดให้ลูกรู้จักชื่นชม คนอื่นบ้าง การชื่นชมคนอื่นนั้นมีฐานมาจากการยอมรับความสามารถหรือผลงานของผู้อื่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้นจากการมองเห็นความดีของผู้อื่น คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการชื่นชมคนอื่นให้ลูกได้ยิน แต่ต้องไม่ชมคนอื่นมากเกินไปจนลูกรู้สึกมีปมด้อย
สอนและฝึกให้ลูกได้พูดระบายความในใจ เพราะเด็กอนุบาลยังขาดทักษะการควบคุมอารมณ์ตนเอง บางคนแพ้แล้วอาจมีการงอแง ร้องไห้ เนื่องจากควบคุมความเสียใจไม่ได้ แต่ถ้าลองปล่อยโอกาสให้ลูกได้พูด เช่น จับมือมือลูกสองข้าง สบตา แล้วคุยกับลูก หนูไม่สบายใจใช่มั้ย ไม่ชอบที่แพ้ใช่มั้ย หนูร้องไห้ได้นะ แต่ร้องแล้วจบนะ จบแล้วเราค่อยไปเริ่มต้นทำกันใหม่ แม่จะอยู่กับหนูเอง โอเคมั้ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น